วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552

ทฤษฎีความน่าจะเป็น


ในความหมายทั่วไป ความน่าจะเป็น (probability) หมายถึงเหตุการณ์หรือความรู้ที่ไม่แน่นอน ซึ่งมีคำใกล้เคียงกับคำว่า เป็นไปได้ น่าจะ ไม่แน่นอน เสี่ยง หรือ โชค
ในความหมายทางคณิตศาสตร์ ความน่าจะเป็น เกี่ยวกับความเป็นไปได้ โดยศึกษาเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้น หรือไม่เกิดขึ้น โดยทฤษฎีความน่าจะเป็นได้จำกัดความน่าจะเป็นว่าอยู่ระหว่าง 0 ถึง 1 โดย 1 หมายถึงเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นแน่นอน และ 0 หมายถึงเหตุการณ์นั้นไม่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้น



นิยาม รัก,ความรัก

รัก.........แท้..เป็น..................ตำนาน

รัก.......... สิ้นลมปราน..เป็น.......บทประพันธ์

รัก.......... ไม่แปรผัน..เป็น.........นิยาย

รัก.......... จนวันตาย..เป็น.........นิทาน

รัก.......... ตลอดกาล..เป็น.........ละคร

รัก.......... อยู่ทุกตอน..เป็น.........ละครน้ำเน่า

รัก.......... ไม่เคยเก่า..เป็น.........จริงช่วงแรก

รัก.......... ในความแปลก..เป็น....คำฮิต

รัก.......... ด้วยชีวิต..เป็น...........ลิเก

รัก..........ไม่โลเล..เป็น.............ความฝัน

รัก.......... เธอนิรันด์..เป็น..........ชื่อเพลง

รัก.......... นะตัวเอง..เป็น...........เด็กอมมือ

รัก..........ซื่อสัตย์..เป็น.............คำลวง

รัก.......... หมดทรวง..เป็น..........คำติดปาก

รัก.......... เธอมาก..เป็น.............คำฮอต

รัก.......... เดียวตลอด..เป็น........ไปไม่ได้.......!!!!!



ความรัก ไม่ต้องการ แค่วันเดียว

ความรัก ไม่ต้องเกี่ยว กับวันไหน

ความรัก ไม่ต้องมี เวลาใด

ความรัก ไม่ต้องใช้ ให้ใครชี้

ความรัก ไม่ต้องมี ข้อวิจารณ์

ความรัก ไม่ต้องการ การกดขี่

ความรัก ไม่ต้องให้ ใครตราตี

ความรัก ไม่ต้องมี เส้นพรมแดน

ความรัก ไม่ต้องรอ ข้อพิสูจน์

ความรัก ไม่ต้องพูด ตามแบบแผน

ความรัก ไม่ต้องการ การตอบแทน

ความรัก ไม่ต้องแค่น หัวใจคน

ความรัก ไม่ต้องการ การเป็นต่อ

ความรัก ไม่ต้องรอ ขอเหตุผล

ความรัก ไม่ต้องย้ำ ความมีจน

ความรัก ไม่ต้องทน ที่จะรัก



เกาะบุโหลนเล

หมู่บ้านชาวประมงเกาะบุโหลนเล ตั้งอยู่บริเวณอ่าวพังกาใหญ่และอ่าวพังกาเล็ก ทางด้านทิศเหนือของเกาะบุโหลนเล หมู่บ้านอยู่ห่างจากที่ตั้งแพนแซนรีสอร์ทประมาณ 15 นาที ไปทางเท้าที่ชาวบ้านใช้เดินทางไปมาระหว่างหมู่บ้านและชายหาดทางด้านทิศตะวันออกทางที่ตัดตัวเข้าไปในป่าเชิงเขา ผ่านต้นไม้ป่าหลากหลาย ป่าหวาย หรือต้นยางพาราขนาดใหญ่ที่ชาวบ้านได้ปลูกทิ้งไว้ รวมถึงต้นมะม่วงหิมพานต์ ต้นไม้ผลต่างๆ ในบางครั้ง คุณอาจจะเห็นสัตว์ป่าเล็กๆ เช่นกระรอก นกเงือก หรือตะกวด เข้ามาในสายตาตลอดเวลา


วิถีชีวิตของผู้คนในหมู่บ้าน ซึ่งส่วนมากเป็นเป็นชาวบ้านที่มีพื้นเพมาจากชาวเล ชนเผ่าผู้รักเสรี ที่เดินทางไปมาในท้องทะเลกว้าง แต่ต่อมาได้เปลี่ยนวิถีชีวิตมารับเป็นชาวบ้านของแถบนี้ไป ร้านค้าเล็กๆ 4-5 ร้านที่คุณสามารถเข้าไปใช้บริการได้ ชาวบ้านเกาะบุโหลนเลมีความเป็นมิตรและมีความความเป็นกันเองสูง

วิถีชีวิตของผู้คนในหมู่บ้าน ซึ่งส่วนมากเป็นเป็นชาวบ้านที่มีพื้นเพมาจากชาวเล ชนเผ่าผู้รักเสรี ที่เดินทางไปมาในท้องทะเลกว้าง แต่ต่อมาได้เปลี่ยนวิถีชีวิตมารับเป็นชาวบ้านของแถบนี้ไป ร้านค้าเล็กๆ 4-5 ร้านที่คุณสามารถเข้าไปใช้บริการได้ ชาวบ้านเกาะบุโหลนเลมีความเป็นมิตรและมีความความเป็นกันเองสูง

หากคุณเดินลัดเลาะไปทางสวนยางพาราที่ตั้งอยู่ระหว่างหมู่บ้านและแนวเกาะทางด้านทิศใต้ คุณจะสามรถเดินทะลุออกมายังอ่าวม่วง ที่ตั้งของหาดทรายรูปวงพระจันทร์ หาดทรายเป็นหาดที่แตกต่างออกไปจากหาดทรายทางด้านทิศเหนือ ทางทิศตะวันออกของหาดม่วงมีลำห้วยเล็กๆของเกาะ ในช่วงฤดูจับปลาหมึกของชาวประมงแถบนี้ชาวประมงจากแผ่นดินใหญ่จะเข้ามาตั้งแหล่งพักพิงชั่วคราวบริเวณนี้และใช้น้ำจากลำห้วยเพื่อการหุงหาอาหารและชำระล้างร่างกายคุณสามารถที่จะนั่งเรือชมรอบเกาะ ได้ในระยะเวลาที่ไม่นาน ซึ่งมีจุดที่น่าสนใจที่ไม่สามารถเข้าถึงได้โดยทางเท้าเช่น ถ้ำรูจมูก บริเวณทิศเหนือเลยจากอ่าวพังกาน้อยไปถ้ำค้างคาวบริเวณหน้าผาสูงทางด้านทิศตะวันตกของเกาะ



“จินตนาการสำคัญกว่าความรู้”

ไอน์สไตน์เคยกล่าวไว้ว่า “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” ความรู้ที่เรามีอยู่อาจเป็นความรู้ที่เป็นจริงและถูกต้อง ณ ขณะนั้น แต่อันที่จริงหากเราใช้ความคิด วิเคราะห์ และจินตนาการ ในสิ่งที่แปลกออกไปหรือภายใต้เงื่อนไขที่ต่างไปจากเงื่อนไขขององค์ความรู้เดิม เราอาจพบความจริงหรือความรู้ใหม่ ที่อาจลบล้างความรู้เดิมที่เราเข้าใจ ดังที่ไอน์สไตน์ได้ใช้จินตนาการอยู่บ่อยครั้งและได้ค้นพบอะไรต่างๆมากมาย รวมทั้งปรากฏการณ์ “Photoelectric Effect” ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบล


ชีวประวัติและเหตุการณ์โดยย่อของไอน์สไตน์

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1879 ในครอบครัวชนชั้นกลางของชาวยิวในประเทศเยอรมนี ในวัยเด็กนั้น เด็กชายไอน์สไตน์เป็นเด็กที่หัดพูดช้ามากจนพ่อ-แม่พากันกังวลว่าลูกชายอาจจะเป็นใบ้ เพราะไอน์สไตน์เริ่มหัดพูดตอนอายุประมาณ 3 ขวบ เรื่องประทับใจเรื่องหนึ่งในวัยเด็กที่ไอน์สไตน์มักหยิบมาพูดถึงคือ ความประหลาดใจของเขาที่มีต่อเข็มทิศแม่เหล็กที่เขาเห็นในช่วงอายุประมาณ 4-5 ขวบ ของชิ้นนี้ทำให้เขาปักใจเชื่อว่าจะต้องมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่เข็มทิศ นอกจากนี้ในวัยเด็กไอน์สไตน์ยังเกลียดการเล่นเป็นทหารซึ่งแตกต่างจากเด็กทั่วไป


ปี ค.ศ.1886 เด็กชายไอน์สไตน์ในวัย 6 ขวบเริ่มเข้าเรียนในชั้นเรียนครั้งแรกที่โรงเรียนในเมืองมิวนิค และเป็นจุดเริ่มที่ทำให้เขาได้เรียนรู้การเล่นไวโอลินจนถึงอายุ 13 ขวบ ที่โรงเรียนผลการเรียนโดยทั่วไปของเด็กชายไอน์สไตน์อยู่ในระดับดี แต่ที่มีความโดดเด่นมากเป็นพิเศษคือวิชาคณิตศาสตร์ แต่ว่าที่โรงเรียนไอน์สไตน์ไม่ชอบวิธีการเรียนการสอนที่มักเน้นการท่องจำ


ในปี ค.ศ. 1895 เมื่ออายุได้ 15 ปี เด็กชายไอน์สไตน์ลาออกจากโรงเรียนในเมืองมิวนิคและย้ายตามครอบครัวไปที่ประเทศอิตาลี ในปีต่อมาไอน์สไตน์ก็เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนโพลีเทคนิคในเมืองซูริก ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เช่นเดียวกับที่โรงเรียนในมิวนิคไอน์สไตน์เกลียดการเรียน การสอนของที่นี่ ดังนั้นไอน์สไตน์จึงไม่ค่อยเข้าชั้นเรียน และศึกษาวิชาฟิสิกส์ด้วยตนเอง ส่วนวิชาอื่น ๆ ก็ศึกษาเอาจากสมุดจดของเพื่อนร่วมชั้นเรียน และใช้เวลากับการเล่นไวโอลิน แต่ไอน์สไตน์ก็สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนโพลิเทคนิคในปี ค.ศ.1900 ด้วยคะแนนที่ไม่ค่อยดีนัก ทำให้ไอน์สไตน์ไม่ผ่านการพิจารณาให้ทำงานในมหาวิทยาลัย ดังนั้นช่วงระยะเวลา 2 ปีแรกหลังจากที่เรียนจบ ไอน์สไตน์จึงได้ทำแต่งานชั่วคราวอย่างการเป็นอาจารย์สอนพิเศษ


ในปี ค.ศ. 1902 ไอน์สไตน์ก็ได้เข้าทำงานในตำแหน่งของเสมียนตรวจสอบสิทธิบัตรในสำนักงานสิทธิบัตรที่กรุงเบิร์น ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ และที่นี่เองเป็นจุดเริ่มต้นของผลงานทฤษฎีต่าง ๆ ที่ปฏิวัติโลกของฟิสิกส์



ค.ศ. 1905 ปีมหัศจรรย์
ในเวลาเพียงหนึ่งปีไอน์สไตน์ได้เขียนบทความออกมา 5 บทความที่เกี่ยวข้องกับ 3 ทฤษฏี ได้แก่ ทฤษฎีปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก ( Photoelectric Effect ) ทฤษฎีการเคลื่อนที่แบบบราวน์เนี่ยน ( Brownian Motion ) และทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ ( Special Relativity Theory ) โดยเริ่มจาก


เดือนมีนาคม ไอน์สไตน์ได้ส่งผลงานเกี่ยวกับเรื่องปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกไปตีพิมพ์ที่ Annalen der Physik ซึ่งเป็นวารสารด้านฟิสิกส์ชั้นนำของเยอรมัน โดยงานวิจัยเรื่องนี้ ไอน์สไตน์อธิบายว่าแสงประกอบด้วยอนุภาคพลังงานขนาดเล็ก ซึ่งถือว่าเป็นการปฏิวัติความคิดใหม่ และขัดแย้งกับความเชื่อและความรู้ที่มีอยู่ก่อนว่าแสงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ทฤษฎีที่ไอน์สไตน์เสนอนั้นใช้อธิบายปรากฏการณ์ของแสงที่ส่องมากระทบกับโลหะแล้วทำให้อิเล็กตรอนหลุดออกมาจากโลหะได้เป็นอย่างดี และผลงานวิจัยเรื่องปรากฏการณ์โฟโต้อิเล็กทริกทำให้ไอน์สไตน์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ประจำปี ค.ศ. 1921

เดือนเมษายน ไอน์สไตน์ส่งผลงานชิ้นที่สองที่เสนอวิธีการคำนวณหาค่าเลขอาโวกาโดร ( Avogado's number ) และขนาดของโมเลกุลของสารที่ถูกละลายในตัวทำละลาย ซึ่งผลงานชิ้นนี้ทำให้ไอน์สไตน์สำเร็จปริญญามหาดุษฏีบัณฑิต (ปริญญาเอก) จากมหาวิทยาลัยซูริก ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ในเดือนกรกฎาคมปีเดียวกันนี้

เดือนพฤษภาคม วารสาร Annalen der Physik ได้รับเอกสารอีกฉบับหนึ่งจากไอน์สไตน์ ซึ่งผลงานใหม่เป็นเรื่อง การเคลื่อนที่ของอนุภาคเล็กๆ ซึ่งแขวนลอยในของเหลวโดยอาศัยทฤษฎีจลน์โมเลกุลของความร้อนหรือที่เรียกว่า ทฤษฎีการเคลื่อนที่แบบบราวน์เนี่ยน โดยไอน์สไตน์ใช้ทฤษฎีนี้อธิบายถึงการที่วัตถุขนาดเล็กมาก ๆ ที่แขวนลอยอยู่ในของเหลวและมีการเคลื่อนที่อย่างสะเปะสะปะตลอดเวลาว่า เป็นผลที่เกิดจากวัตถุขนาดเล็กนั้นถูกชนด้วยอะตอมของของเหลวที่มองไม่เห็นจำนวนมากตลอดเวลา ซึ่งในสมัยนั้นนักวิทยาศาสตร์ยังไม่ค่อยยอมรับถึงการมีอยู่จริงของอะตอม

เดือนมิถุนายน หลังจากเสร็จสิ้นจากบทความเรื่องทฤษฎีการเคลื่อนที่แบบบราวน์เนี่ยนแล้ว ไอน์สไตน์ได้เขียนบทความใหม่ออกมาและส่งไปที่วารสาร Annalen der Physik อีก คราวนี้เป็นเรื่องของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและการเคลื่อนที่ ซึ่งบทความนี้คือ จุดกำเนิดทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ

เดือนกันยายน ไอน์สไตน์ได้ส่งบทความชิ้นที่ 5 ซึ่งเป็นชิ้นสุดท้ายของปี ความยาว 3 หน้ากระดาษเกี่ยวกับทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษเพิ่มเติมว่า สสารและพลังงานมีความสัมพันธ์กัน โดยเมื่อสสารได้ปลดปล่อยพลังงานออกมาจำนวนหนึ่งแล้วจะมีผลทำให้มวลของสสารมีค่าลดลง ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานและสสารถูกเขียนออกมาอยู่ในรูปสมการง่าย ๆ ว่า E=mc 2 อันเป็นสมการที่โด่งดังที่สุดของไอน์สไตน์



ปี 1909 ไอน์สไตน์ได้รับงานในตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยซูริกซึ่งเป็นการทำงานฟิสิกส์เต็มตัวครั้งแรก และในปี 1911 เขาได้ย้ายไปที่มหาวิทยาลัยเยอรมันในกรุงปราก ไอน์สไตน์ยังคงมีผลงานทางฟิสิกส์ออกมาเรื่อย ๆ ในปีถัดมาเขาก็ย้ายไปรับตำแหน่งศาสตราจารย์ที่สถาบันสหพันธ์แห่งเทคโนโลยีที่เมืองซูริก


ปี 1914 ไอน์สไตน์ย้ายมาที่กรุงเบอร์ลิน ทำงานในตำแหน่งศาสตราจารย์ทำให้เขาไม่ต้องรับหน้าที่สอนหนังสืออีกต่อไป สำหรับชีวิตส่วนตัวไอน์สไตน์ได้แยกทางกับครอบครัว ปีนี้เป็นจุดเริ่มของสงครามโลกครั้งที่ 1


ปี 1915 ที่ไอน์สไตน์ประกาศทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ ไอน์สไตน์ใช้เวลาปรับปรุงเพิ่มเติมทฤษฏีสัมพัทธภาพพิเศษจนเสร็จสมบูรณ์ได้เป็น “ ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ” ซึ่งช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เกิดความเข้าใจใหม่ ๆ เกี่ยวกับเรื่องแรงโน้มถ่วง ( gravity )


ปี 1919 หลังจากที่ประเทศเยอรมนีพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 ได้หนึ่งปี ทฤษฏีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ที่ระบุว่า แรงโน้มถ่วงสามารถทำให้แสงเลี้ยวเบนได้ก็ได้รับการยืนยันว่าถูกต้องจากกลุ่มนักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษที่สังเกตการเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาที่เกิดขึ้นในปีนี้ ทำให้ไอน์สไตน์ได้รับการยกย่องจากสาธารณชนให้เป็นตัวแทนหรือสัญลักษณ์แห่งโลกวิทยาศาสตร์

ปี 1921 เป็นปีที่ไอน์สไตน์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์จากผลงานเรื่อง ทฤษฎีปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก


ปี 1924 ไอน์สไตน์พยายามคิดทฤษฏีใหม่ด้วยการรวมทฤษฏีแม่เหล็กไฟฟ้าและทฤษฏีแรงโน้มถ่วงเข้าด้วยกัน และในปี 1929 ไอน์สไตน์ได้ประกาศทฤษฎีสนามรวม ( Unified Field Theory ) ออกมา แต่สมการทางคณิตศาสตร์ที่ได้ยังไม่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับการทดลอง ทำให้ไอน์สไตน์พบความยุ่งยากของทฤษฎีใหม่

ปี 1933 ภายใต้การปกครองของรัฐบาลนาซีใหม่ทำให้ไอน์สไตน์ไม่สามารถอาศัยในประเทศเยอรมันได้ ไอน์สไตน์และครอบครัวจึงอพยพไปที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และเข้าทำงานที่ Institute for Advanced Study ในเมืองพรินซ์ตัน ไอน์สไตน์เปลี่ยนจากผู้ที่รักสันติ โดยออกมาเตือนผู้นำประเทศต่าง ๆ ให้ระวังการรุกรานจากประเทศเยอรมนี นอกจากนี้เขายังให้ความช่วยเหลือชาวยิวและผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจากลัทธินาซีด้วย


ปี 1955 ไอน์สไตน์ยังทำงานเพื่อหาทางรวมทฤษฎีสนามรวม และยังคงทำงานเกี่ยวข้องกับการต่อต้านสงครามจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ไอน์สไตน์เสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลวในวันที่ 16 เมษายน






นิยาม emo

สืบเนื่องมาจากการที่โลกดนตรีมีการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอดจึงทำให้เราเริ่มได้ยินคำว่า "emo" หรือ "screamo" กันมากขึ้น ซึ่งจริงๆ มันเป็นแนวดนตรีที่เพิ่งถูกเรียกกันขึ้นมาใหม่ไม่กี่ปีมานี้เอง บางคนบอกไว้ว่า emo ไม่ใช่แนวดนตรี เหมือนคำว่า Rock , Pop , Punk หรือ Hardcore ซึ่งตรงนี้ผมเห็นด้วยครับ โดยต้นกำเนิดของ emo นั้นมาจากการการผสมผสานกันของแนวดนตรีหลักๆ คือ Punk , Rock , Hardcore เข้าด้วยกันครับ ลักษณะเด่นที่สุดของเพลง emo ผมสามารถยืนยันได้เลยว่า มันเป็นการผสานระหว่างความแข็งกร้าว โกรธเกรี้ยว รุนแรง ที่อยู่ภายนอก เข้าไว้กับความอบอุ่น นุ่มนวล แต่มีพลังที่อยู่ภายใน เข้าไว้ด้วยกัน ตรงนี้จะสังเกตได้ชัดจากวิธีการร้องแบบ emo จะต้องมีการร้องท่อนที่เรียกว่า Scream หรือ การตะคอก , ตะโกน , แหกปาก แล้วก็ตัดจังหวะ เปลี่ยนอารมณ์เป็นท่อนที่เบาลง หรือบางทีก็เป้นอคูสติคไปเลย แต่ที่สำคัญก็คือ emo จะไม่ร้องท่อน scream ไปตลอดจนจบเพลงนะครับ..ขอเน้น นี่คือสิ่งที่จะสังเกตได้ชัดเจน และง่ายที่สุดว่าวงไหนเป็น emo และเป็นที่มาของคำว่า emo ซึ่งมันย่อมาจากคำว่า "emotional" แปลให้ฟังได้ว่าอารมณ์ ..


emo_.jpg emo_ image by Virusxofxlife


ลายไทย

ตาอ้อย


ตาอ้อย หรือกระจังตาอ้อย ทรงตัวอยู่ในรูปสี่เหลี่ยมด้านเท่า มีทรงตัวเส้นอ่อนเรียวทั้งซ้าย และขวาปลายยอดแหลมมีบาก (คือหยัก) ทั้งสองข้าง เมื่ออยู่เฉพาะตัวเดี่ยวๆเรียกว่าตาอ้อย เมื่อเข้าประกอบเป็นลายติดต่อซ้ายและขวา เช้น เขียนเป็น ลายบัวหงายบัวคว่ำเป็นตัวอย่างของใบกระจังเทศ เช่นเดียวกับ กระจังฟันปลา แต่เป็นตัวย่อตัวที่สองรองจากกระจังฟันปลา เป็นลายติดต่อซ้ายและขวา


กระจังใบเทศ



กระจังใบเทศมีทรงภายนอกอ่อนเรียวเหมือนกระจังตาอ้อย อยู่ในรูปสี่เหลี่ยมด้านเท่าเช่นเดียวกัน แต่ภายในตัวมีสอดไส้แต่ หนึ่ง-สอง-สาม ขึ้นไป กระจังใบเทศมีวิธีแบ่งตัวได้ หรือสอดไส้ได้หลายวิธี เมื่อตัวยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งแบ่งตัวมากขึ้น และใส่ตัวซ้อนมากขึ้น การแบ่งจังหวะรอบตัวของกระจังใบเทศนี้ เรียกว่า "แข้งสิงห์" เมื่อตัวกระจังใบเทศใบยิ่งโตขึ้นเท่าใด แข้งสิงห์ก็จำต้องแบ่งตัวตามขึ้นไปด้วย การแบ่งแข้งสิงห์ให้เป็นลำดับติดต่อกันไม่ได้ ก็เท่ากับเขียนกระจังใบเทศไม่เป็น



กระจังหู



กระจังหูหรือกระจังปฏิญาณ มีทรงอยู่ในรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้างสองส่วน สูงสามส่วน(ดูแบบ)ตอนบนมีทรงเหมือนกระจังใบเทศ แล้วต่อก้านลงมาอีกครึ่งส่วนซ้ายและขวา มีตาอ่อนหรือกระจังใบเทศห้าม แต่ภายในตอนล่างมีกาบทั้งซ้ายและขวา เช่นเดียวกับกระจังใบเทศ วิธีแบ่งตัวมีเป็นลำดับคล้ายกระจังใบเทศ ตัวโตขึ้นก็มีการแบ่งตัวมากขึ้นไป



กระจังรวน



กระจังรวน มีส่วนเหมือนกระจังหูทุกส่วน ตลอดจนแบ่งตัวทุกอย่างเหมือนกันทั้งหมด แต่ใช้ยอดลงปลายยอด(ยอดเฉ)ยอดบัดไปทางซ้ายหรือขวาก็ได้ เป็นลายติดต่อซ้ายขวา



พุ่มทรงข้าวบิณฑ



ลายพุ่มทรงข้าวบิณฑ มีส่วนกว้างสองส่วน สูงสามส่วน วิธีเขียน สองส่วนตอนบนเขียนอย่างใบกระจังเทศแต่ให้สั้น เอายอดลงต่อกับตอนบน เท่ากับเขียนกระจังใบเทศสองตัวกัน รอบตัวของพุ่มทรงข้าวบิณฑ มีแบ่งแข้งสิงห์เหมือนกับกระจังเทศ แต่ตอนที่แข้งสิงห์ต่อกัน ระหว่างตอนบนกับตอนล่างน้นใส่ตัวห้าม พุ่มทรงข้าวบิณฑใช้เป็นี่ออกลายเป็นลายดอกลอย และยังใช้เข้าประกอบกับลายอื่นๆ ได้อีก



ประจำยาม



ลายประจำยาม ทรงอยู่ในรูปสี่เหลี่ยมทแยงมุม ประกอบด้วยวงกลมกับตัวกระจังใบเทศ ถ้าเป็นตัวย่อเล็กก้ใช้กระจังตาอ้อนแทน ลายประจำยาม ไม่เฉพาะแต่ใช้กระจังใบเทศ จะใช้กระจังหู พุ่มทรงข้าวบิณฑก็ได้ ลายประจำยามอยู่ในจำพวกดอกลอยและใช้เป้นแม่ลาย คือที่ออกลายหรือใช้เป็นที่ห้ามลาย



รักร้อย



ลายรักร้อยประกอบด้วย ลายประจำยามและกระจังใบเทศ หรือกระจังตาอ้อยลายรักร้อย ใช้ลายประจำยามเป็นที่ออกลาย เอากระจังใบเทศหรือกระจังตาอ้อยเรียงต่อกันไปทั้งซ้ายและขวาจนถึงที่ๆต้องการ ลายรักร้อยเป้นลายช่วยประกอบกับลายอื่นๆ โดยมากไม่มีใช้เฉพาะตัวของมันเอง ถ้าเป้นลายรักร้อยใหญ่ ใช้วิธีแบ่งตัวเหมือนกระขังใบเทศหรือจะเอาวิธีแบ่งตัวของกระจังหูมาใช้ก็ได้



หางไหล



หางไหลเป็นที่มาของกนกตัวต้น ทรงคล้ายกนกเปลว หรือเป็นแกนของตัวกนกอีกทีหนึ่ง โดยมากใช้เขียนเป็นลายเปลวไฟ ไม่มีใช้ผูกเป็นลายกนกเปลวเทียนหรือเป็นลายก้านขด



กนกสามตัว



กนกสามตัวจัดว่าเป็นแม่ลายที่สำคัญมาก เท่ากับเป็นแม่บทของกนกต่างๆทุกชนิดเพราะกนกทุกชนิดก็ได้แยกออกไปจากนกสามตัวและตอนยอดก็ใช้เหมือนกนกสามตัวให้อ่อนลื่นลงไป กาบบนคงใช้ตามทรงเดิมของกนกสามตัวการเขียนกนกตัวอื่นๆก็คล้ายคลึงกัน มีเพิ่มกาบมากบ้างน้อยบ้าง และบางตัวกนกก็ใช้ขมวดยอดลายและกาบ ก็เกิดเป็นรูปตัวกนกต่างๆแต่ทรงของตัวกนกคงเหมือนเดิมกับกนกสามตัวทั้งนั้นฉะนั้น การฝึกหัดเขียนจำต้องเขียนให้จำได้แม่นยำจริงๆ เมื่อจำกนกสามตัวได้แน่นนอนแล้ว การเขียนตัวกนกอื่นๆต่อไปก็จะจำได้ง่าย



วิธีฝึกหัดเขียนที่ดี ใช้ว่าเพียงแต่จำทรงตัวกนกได้แบ่งกาบถูกต้อง ทำยอดกนกได้ดีเท่านั้น จำจะต้องเขียนตัวกนกให้ยอดหันเหไปได้รอบตัว โดยไม่ต้องหมุนกระดาษที่เขียนไปคือเขียนตัวกนกให้ยอดลง ให้ยอดไปข้างซ้ายหรือข้างขวา หรือยอดให้เฉียงไปทางใดก็ได้นอกจากนี้ยังต้องเขียนกนกย่อ และขยายให้เล็กโตเท่าใดก็ได้ตามความต้องการ จึงจะจัดว่าเขียนตัวกนกได้ดี



และตัวกนกมีความสำคัญอยู่อีกประการหนึ่ง เช่น กนกสามตัวๆที่สามคือกาบบนกาบล่างที่ซ้อนกันอยู่ในตัวกนกนั้น เมื่อถึงการประดิษฐ์ลายก็แยกเอากาบเหล่านี้มาประกอบสลับติดต่อกัน มีกาบเล็กบ้างโตบ้าง ก็จะเกิดเป็นเถาลายขึ้น ความสำคัญของตัวกนกมีอยู่ดังนี้ การฝึกหัดเขียนที่ดีควรทวนความจำทุกวันไม่มากก็น้อย



กนกเปลว



กนกเปลวมีทรงเหมือนกนกสามตัว แต่กาบล่างของกรกเปลวต่างกัน ไม่มีแง่หยักเหมือนกนกสามตัว(ดูแบบตัวที่สาม)เขียนลื่นๆและการสอดไส้กาบ คือการแบ่งกาบก็ต่างกัน ส่วนกาบบนและยอดคงเหมือนกับกนกสามตัว ส่วนกาบล่างแบ่งต่างกันการฝึกหัดคงเหมือนกนกสามตัวทุกอย่าง



เทศหางโต



เทศหางโต หรือ หางโต มีลักาณะรูปร่างเหมือนกนกใบเทศตลอดจนส่วนประกอบก็เช่นเดียวกัน แต่ผิดกันก็ตอนบนของหางโต ใช้ทรงพุ่มทรงข้าวบิณฑต่อจากก้านหรือจะใช้ใบเทศต่อก้านก็ได้ เมื่อถึงตอนยอดก็ให้ยอดสบัดเหมือนกนกสามตัว(ดูแบบตัวที่สาม)เทศหางโต หรือ หางโต เมื่อเข้าลายหรือผูกลายจะใช้ปนกับกนกใบเทศก็ได้การฝึกหัดเขียนปฏิบัติเช่นเดียวกับกนกสามตัว



เครื่องประกอบลาย





เครื่องประกอบลาย แบบ๑
การเขียนลายหรือผูกลายที่งามนั้น ก็ต้องมีเครื่องตบแต่งประกอบเพื่อส่งเสริมให้ลายที่เขียนนั้นงดงามดูวิจิตรพิสดาร เครื่องตบแต่งนี้ก้คือเครื่องประลายนั้นเอง เครื่องประกอบลายต่างๆมีอยู่ในกนกสามตัวทั้งนั้น ได้ถอดเอาออกมาและแยกเป็นส่วนๆ ออกเป็นกาบช้อนออกเป็นตัวกนก, และออกเป็นยอดลายก้านขด





เครื่องประกอบลาย แบบ๒
ลายไทยมีอยู่หลายอย่างหลายชนิดด้วยกัน สำหรัยใช้ในงานแต่ละอย่าง และยังมีวิธีเขียนต่างกันด้วย เช่นเขียนลายถม, ลายลงยาสี, ลายตัวนูน เช่นปั้น, สลัก, แกะไม้ และปักดิ้นปักไหมลายฉลุ ฯลฯ เขียนลายชนิดไหนก้ใช้เครื่องประกอบลายชนิดนั้นให้มากเช่นเขียน ลายนกใบเทศประกอบเถาให้มาก นอกจากใช้กาบต่างๆประกอบเป็นเถาหนึ่งให้ออกไปเป็นอีกเถาหนึ่งนั้น ระหว่างที่จะแยกจากเถาต้องมี นกคาบ, กาบคู่หรือกาบไขว่เสมอไป(ดูกกผูกลายบทที่ ๒๖) ในแบบนี้แถวบนเป็นเครื่องประกอบลายใบเทศ และตอนล่างทั้งหมดเป็นที่แยกลาย ฉะนั้นการเขียนกาบและนกคาบเหล่านี้ต้องเขียนซ้ำๆกัน ให้จำได้อย่างแม่นยำ




Jo Seung-woo (โช ซังวู)

Jo Seung-woo (โช ซังวู)

พ่อของ โช ซังวู เป็นอดีตนักแสดงละเวทีที่โด่งดังสุดๆในช่วงปี 70 และพี่สาวของเขาก็เป็นนักแสดงละครเวทีด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เองจึงกลายเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เขาผูกพันกับงานทางด้านละครเวทีมาตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก


หลังจากจบการศึกษาเขาก็หันมาสนใจด้านดนตรีซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุข กับการได้ทำงานหนัก สำหรับการเตรียมตัวก่อนเปิดการแสดง ดาราคนโปรดของ โช ซังวู คือ Ethan Hawk จากภาพยนตร์เรื่อง Before Sunrise โช ซังวู เริ่มสนใจงานแสดงตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย เขาเคยไปทดสอบบทอยู่ 2- 3 ครั้งโดยไม่ได้คาดหวังอะไร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อเขาได้รับบทนำในภาพยนตร์เรื่อง Chunhyang ของผู้กำกับ Im Kwon-Taek

หลังจากภาพยนตร์เรื่อง Chunhyang นั้น เขาได้ปฏิเสธข้อเสนอจำนวนนับไม่ถ้วนจากทั้งบริษัทผลิตรายการโทรทัศน์และผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ และเขาเลือกที่จะแสดงละครเวที โดยในช่วงปี 2000 และ 2001 เขามีงานละครเวทีเข้ามาถึง 3 เรื่องด้วยกัน ได้แก่ Blood Brothers (2000) , The Last Emperor (2000) และ Line 1 (2001) นอกจากนั้นในช่วงปี 2001 เขาก็มีโอกาสครั้งสำคัญที่จะได้ร่วมงานละครกับทางสถานีโทรทัศน์ SBS ในละครเรื่อง Onair อีกด้วย หลังจากนั้น Cho Seung-Woo ก็ได้กลับมาแสดงภาพยนตร์อีกครั้ง ในเรื่อง Wanee and Junah ซึ่งเป็นเรื่องราวของความรักครั้งแรกและพี่ชายต่างสายเลือดของหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งนำแสดงโดย Kim Hee-Sun และ Joo Jin-Mo


ผลงานภาพยนตร์เรื่องถัดไปของเขาก็คือ เรื่อง Who R U? เข้าฉายที่เกาหลีช่วงเดือนพฤษภาคม ปี 2002 ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ก็สร้างชื่อเสียงให้เขาและทำให้เเป็นที่รู้จักในฐานะนักแสดงชายที่เยี่ยมที่สุดในยุคนี้ Who R U? เป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งที่เขาค่อนข้างตื่นเต้น หลังจากที่เขาได้รับบทนำในภาพยนตร์เรื่อง Who R U? จากนั้นเขาก็มีภาพยนตร์ตามมาอีก 2 เรื่องด้วยกันในปีนี้ แต่บทที่เขาได้รับล้วนแล้วแต่เป็นบทรองทั้งสิ้น ภาพยนตร์ 2 เรื่องนั้นก็คือ YMCA Baseball Team และ H ที่สำคัญปี 2002 เขาก็ยังไม่ทิ้งงานละเวทีที่เขารัก โดยในปีนี้เขาได้แสดงละครเวทีอีก 1 เรื่องด้วยกันคือเรื่อง The Sorrows of Young Werther (2002)


ต้นปี 2003 ภาพยนตร์เรื่อง The Classic ที่เขาได้รับบทนำในเรื่องก็ลงโรงฉายทั่วเกาหลี ในภาพยนตร์เรื่องนี้เขารับบทเป็น Joon Ha ชายหนุ่มผู้ยึดมั่นในรักแท้ ที่มีต่อหญิงสาวที่ชื่อ Joo Hee ในภาพยนตร์เรื่อง The Classic นี้ ความมีเสน่ห์ที่โดดเด่นของเขาก็เป็นที่ประจักษ์ให้เห็นอย่างชัดเจน ถึงความสามารถทางด้านการแสดงที่เปี่ยมล้นในตัวของเขา ช่วงปลายปี โช ซังวู กลับมารับงานละเวทีอีกครั้ง ในละเวทีที่มีชื่อเรื่องว่า Carmen (2003)


ปี 2004 โช ซังวู จะกลับมาร่วมงานกับผู้กำกับ Im Kwon-Taek ในภาพยนตร์แอ๊กชั่นย้อนยุคเรื่อง Raging Years อีกครั้ง หลังจากที่เคยร่วมงานกันมาแล้วครั้งหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง Chunhyang เมื่อปี 2000 โดยนางเอกที่จะมาร่วมแสดงกับเขาในครั้งนี้ก็คือ Kim Min-Sun น กลางปีเดียวกัน Cho Seung-Woo ก็กลับมารับงานละครเวทีอีกครั้งในละครเพลงเรื่อง Jekyll & Hyde ซึ่งออกแสดงในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม




ล่าสุด โช ซังวู มีผลงานภาพยนตร์เรื่องใหม่ Running Boy ร่วมกับ Kim Mi-Suk ในผลงานการกำกับของ Jeong Yun-Cheol โดยในเรื่องนี้ โช ซังวู จะรับบทเป็นนักวิ่งมาราธอน และ Kim Mi-Suk รับบทเป็นคุณแม่ของเขา Running Boy เข้าฉายที่เกาหลีเมื่อกุมภาพันธ์ ปี 2005